Get Adobe Flash player
ติดต่อสอบถามได้ที่โทร. 086-131-6228, 085-930-4143,

เรามาศึกษาธรรมะอาทิตย์ละคำกันเถอะ

จากหนังธรรมโฆษณ์-อรรถานุกรม เล่ม๑

คำว่า “กิเลส”  มีอรรถลักษณะ๒๑ข้อ ดังนี้

๑.    ”กิเลส“ โดยพยัญชนะ: หมายถึงโดยตัวหนังสือหรือคำแปลตามตัวหนังสือ…

๑.๑ สิ่งที่ทำความเศร้าหมอง.

๑.๒ สิ่งที่เศร้าหมอง.

๑.๓ ของสกปรก.

๑.๔ สิ่งที่ทำความสกปรก.

๒.  ”กิเลส“ โดยอรรถ: หมายถึงโดยความหมาย…

๒.๑ หมายถึง ความเศร้าหมองทางกาย ทางวาจา ได้แก่ความทุศีล ทุกชนิด.

๒.๒ หมายถึง ความเศร้าหมองทางจิตใจ ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ทุกชนิด ทุกระดับ,

สูงสุดถึง อหังการมานานุสัย.

๓. ”กิเลส“ โดยไวพจน์: หมายถึงคำที่ใช้เรียกแทนกันได้ทั้งคำบาลีและคำภาษาไทย…

คือ  มละ(มลทิน),  โยคะ(เครื่องผูก),  โอฆะ(เครื่องท่วมทับ),  อัคคิ(เครื่องเผา) ฯลฯ

๔. ”กิเลส“ โดยองค์ประกอบ: หมายถึงปัจจัยที่ต้องมีมากกว่าหนึ่ง.และปัจจัยนั้นๆต้องทำงานร่วม

กันและพร้อมกันในเรื่องเดียวกัน…

๔.๑ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส (กาย วาจา ใจ),

๔.๒ สังขาร คือการปรุงให้เกิดกิเลส (ตามกฏอิทัปปัจจยตา),

๔.๓ ความเศร้าหมองที่เกิดขึ้น (หลายชั้น หลายระดับ),

๕. ”กิเลส“ โดยลักษณะ: หมายถึงลักษณะภายนอกที่เป็นเครื่องสังเกตหรือเครื่องกำหนดที่ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไร

จึงเรียกว่าอย่างนั้น…

๕.๑ สกปรก เศร้าหมอง น่ารังเกียจ,

๕.๒ แห่งราคะ  คือดึงเข้าหาตัว, แห่งโทสะ คือผลักออก, แห่งโมหะ คือวิ่งอยู่รอบๆ,

๕.๓ ก่อให้เกิดกรรม (เป็นกงล้อกงหนึ่งในวัฏฏะ)

๕.๔ ของบรรดาสิ่งที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว,

๕.๕ เป็นได้ทั้งบวกและลบ.

๖. ”กิเลส“ โดยอาการ: หมายถึงอาการเคลื่อนไหว หรือแสดงความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ…

๖.๑ อยากได้ อยากทำลาย  สงสัยติดตาม,

๖.๒ ทำให้เกิดความเศร้างหมองโดยส่วนเดียว,

๖.๓ แสดงออกมาได้ทั้งความเป็นบวกและความเป็นลบ,

๗. ”กิเลส โดยประเภท: หมายถึงการจำแนกให้เข้ากันเป็นพวกๆ ตามลักษณะอาการของสิ่งนั้นๆ…

นัยที่หนึ่ง: แบ่งตามความเป็นเหตุและผล: มีสองอย่าง:

๑.กิเลสที่เป็นเหตุ.

๒.กิเลสที่เป็นผล.

แต่อย่าลืมว่ามันเปลี่ยนตัวมันเองได้ คือ กิเลสที่เป็นผลก็กลายมาเป็นกิเลสที่เป็นเหตุได้

นัยที่สอง: แบ่งตามอาการที่แสดง: มีสามอย่าง:

๑.มีอาการดึงเข้ามาแล้วยึดครองไว้:  ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า ราคะ หรือ โลภะ

๒.มีอาการผลักออกไปหรือทำลายเสีย: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า โทสะ หรือโกธะ,

๓.มีอาการวนอยู่รอบๆ ด้วยความไม่รู่: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า โมหะ.

นัยที่สาม: แบ่งตามชั้นแห่งเวลา: มีสามอย่าง:

๑.กิเลสที่ปรากฏตัวออกมาจาเหตุซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส:  คือ เป็นกิเลสเฉพาะหน้าๆ; จะเรียกมันว่า กิเลส เฉยๆ.

๒.กิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสที่เก็บสะสมไว้ในสันดาน: ซึ่งเราจะเรียกมันว่า อนุสัย.

๓.กิเลสที่พร้อมที่จะไหลกลับออกจากคลังแห่งอนุสัย เมื่อได้โอกาสหรือปัจจัย: ซึ่งเราจะเรียกมันว่า อาสวะ.

นัยที่สี่:  แบ่งตามอารมณ์ มีหกอย่าง: คือ กิเลสเกิดจากอารมณ์ทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางกาย, ทางใจ,

นอกจากนั้นยังมีทางที่จะแบ่งตามกาลเวลาและกฎ    เกณฑ์อื่นๆ เป็นกิเลสหลายร้อยหลายพันชนิดก็ได้,

ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องนำมากล่าวในที่นี้ทั้งหมด.

๘. ”กิเลส“ โดยกฎเกณฑ์: หมายถึงกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ หรือกฎเกณฑ์เพื่อจะเข้าไปถึงสิ่งนั้นๆ

ซึ่งอาจมีได้ทั้งโดยบัญญัติและโดยธรรมชาติ…

คือ ต้องมีอารมณ์ของกิเลส, ต้องมีความขาดสติ, ต้องมีการปรุงแต่งโดยอำนาจของอวิชชา. ครั้งเกิดแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรม.

ป้องกันได้ด้วยความมีสติ.

ตัดเสียได้ด้วยอำนาจของปัญญา. มีรากฐานอยู่บนสัญชาตญาณที่ปราศจากความรู้. เป็นคู่ปรับของโพธิ.

๙. ”กิเลส“ โดยสัจจะ: หมายถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ…

๙.๑ แน่นอนที่ต้องเศร้าหมอง.

๙.๒ แน่นอนที่ต้องทำกรรม.

๙.๓ แน่นอนที่ต้องเกิดทุกข์.

๙.๔ แน่นอนที่จะต้องเป็นสมบัติของปุถุชน.

๑๐. ”กิเลส“ โดยหน้าที่:(โดยสมมติ)หมายถึงการที่สิ่งมีชีวิตจะต้องกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ…

๑๐.๑ มีหน้าที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง.

๑๐.๒ มีหน้าที่ทำให้เกิดกรรมและวิบาก  เพื่อการเวียนว่ายไปในวัฏฏะ.

๑๐.๓ มีหน้าที่ทำลายสันติภาพของมนุษย์.

๑๐.๔ มีหน้าที่เป็นพลังของคนโง่.

๑๐.๕ มีหน้าที่เป็นของหอมของงามของอันธพาล.

๑๑. ”กิเลส“ โดยอุปมา:หมายถึงการเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เข้าใจดีอยู่แล้วเพื่อให้เข้าในสิ่งนั้นๆ

ดียิ่งขึ้นจนถึงที่สุด…

เป็นเสมือนเครื่องรึงรัด.  เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กำลังแล่น.

๑๒. ”กิเลส“  โดยสมุทัย: หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ…

๑๒.๑ อารมณ์ของกิเลส,  ความขาดสติในการรับอารมณ์,  การปรุงแต่งของอวิชชาสามอย่างนี้เป็นสมุทัยของกิเลส.

๑๒.๒ สัญชาติญาณที่ไม่มีส่วนแห่งโพธิ มีแต่ส่วนแห่งกิเลส.

๑๒.๓ รชนียธรรม ทั้งปวง.
๑๓. ”กิเลส“ โดยอัตถังคมะ: หมายถึงความดับของสิ่งนั้นๆ. คือความตั้งอยู่ไม่ได้ชั่วคราว หรือตลอดไปของสิ่งนั้นๆ…

๑๓.๑ การขาดปัจจัยของกิเลสนั้นๆ ตามธรรมชาติ.

๑๓.๒ ความมาทันเวลาของสติสัมปชัญญะ (ปัญญา).

๑๓.๓ ธรรมเป็นข้าศึกแก่กิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น.

๑๓.๔ เวลาว่างจากกิเลส ซึ่งได้ตามธรรมชาติ (เพราะกิเลสมิได้เกิดอยู่ตลอดเวลา).

๑๔.”กิเลส“ โดยอัสสาทะ: หมายถึงเสน่ห์หรือรสอร่อยที่ยั่วยวนของสิ่งนั้นๆ ซึ่งมีต่อมนุษย์…

๑๔.๑ กิเลสมีเสน่ห์ มีรสอร่อยแห่งความหลอกลวงสูงสุด.

๑๔.๒.กิเลสเป็นที่เกิดและเป็นที่ตั้งแห่งนันทิราคะทุกชนิด ทุกระดับ.

๑๕.”กิเลส“ โดยอาทีนวะ: หมายถึงโทษหรือความเลวร้ายของสิ่งนั้นๆ

ซึ่งซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ยาก…

๑๕.๑ ทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์เป็นคราวๆ.

๑๕.๒ ทำให้มีอาการเหมือนตกนรกเป็นคราวๆ.

๑๕.๓ ทำให้ติดไปกับวงของวัฏฏะ.

๑๕.๔ ทำให้โลกประสบอุปสรรคและความสูญเสีย.

๑๖.”กิเลส“ โดยนิสสรณะ: หมายถึงอุบายหรือวิธีที่จะออกหรือพ้นจากอำนาจของสิ่งนั้นๆ…

๑๖.๑ อริยมรรคมีองค์แปด หรือความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง.

๑๖.๒ ความมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่โดยปกติ.

๑๖.๓ การดำรงอยู่หรือมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่ให้โอกาส, ไม่ให้ปัจจัย,

ไม่ให้อาศัย,ฯลฯ แก่กิเลส: เรียกว่า สัมมาวิหาร ซึ่งทำโลกให้ไม่ว่างจากพระอรหันต์”.

๑๗.”กิเลส“ โดยทางปฏิบัติ: หมายถึงทางปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆเพื่อให้เกิดผลดีตามที่ประสงค์…

เพื่อออกจากการตกเป็นทาสของกิเลส:

๑๗.๑ มีการกระทำที่เป็นการทำลายต้นตอของกิเลส คืออวิชชาอยู่เป็นนิจ.

๑๗.๒ มีสติอยู่ทุกเมื่อ ทุกสถานที่ และทุกกรณี.

๑๗.๓ มีการเป็นอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว  แต่เห็นแก่ผู้อื่นและความถูกต้อง.

๑๘.”กิเลส“ โดยอานิสงส์: หมายถึงประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อสิ่งนั้นๆ…

ให้บทเรียน ทำให้ฉลาด เอาชนะกิเลสเพื่อลุถึงนิพพาน

๑๙.”กิเลส“ โดยหนทางถลำ: หมายถึงการมีโอกาสหรือความบังเอิญที่ทำให้เกิดความง่ายแก่การปฏิบัติหรือการทำหน้าทีให้สำเร็จ

ได้โดยง่ายยิ่งขึ้น; แต่ในบางกรณีความบังเอิญนี้มีได้แม้ในฝ่ายลบหรือไม่พึงประสงค์…

เข้าไปอยู่ใต้อิทธิพลของกิเลส

๑๙.๑ ความประมาทปราศจากสติ.

๑๙.๒ ความเป็นอยู่อย่างหละหลวม ปราศจากธรรมเครื่องยึดหน่วง.

๑๙.๓ คบคนพาลเป็นเพื่อนหรือเป็นผู้นำ.

๑๙.๔ อาการชอบทำอะไรตามใจตัว.

๒๐.”กิเลส“ โดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง: ในการเกิดกิเลส   หมายถึงปัจจัยหรืออุปกรณ์พิเศษอื่นๆ

ที่จะช่วยให้การกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ

เกิดความสำเร็จได้โดยง่ายและโดยเร็วจนถึงที่สุด…

๒๐.๑ ปัจจัยหรืออารมณ์ของกิเลส.

๒๐.๒ อวิชชา ความปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง.

๒๐.๓ ความปราศจากสติ.

๒๐.๔ อนุสัย  (ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสในภายใน).

๒๑.”กิเลส“ โดยภาษาคน-ภาษาธรรม: หมายถึงการพูดจาที่จะกล่าวถึงสิ่งๆนั้นมีทางพูดได้เป็นสองภาษา

คือ ภาษาคน และ ภาษาธรรม…

โดยภาษาคน: หมายถึงภาษาคนธรรมดาที่ใช้พูด ซึ่งมักระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุภายนอก

ที่เรียกว่าบุคคลาธิษฐาน..

โดยภาษาธรรม:หมายถึงภาษาที่ผู้รู้ธรรมพูด ซึ่งมักระบุไปยังคุณค่าหรือคุณสมบัติ

โดยไม่เล็งถึงบุคคลหรือวัตถุ ที่เรียกกันว่า ธรรมาธิษฐาน…

๒๑.๑ ภาษาคน:  ความสกปรกทางวัตถุทางการ  ซึ่งมีการชำระด้วยวัตถุ.

ภาษาธรรม: ความสกปรกทางจิตใจ  ซึ่งต้องชำระด้วยวิปัสสนาญาณ.

๒๑.๒ ภาษาคน:  ดูไม่น่ากลัวหรือเป็นของธรรมดา.

ภาษาธรรม:  ยิ่งกว่าน่ากลัว.

ธรรมะวันละคำจากหนังสือธรรมโฆษณ์ อาทิตย์หน้าพบกับคำว่า ขันธ์ เป็นคำต่อไป ครับ

Leave a Reply

สร้างองค์พระเจดีย์
พระครูจันทสิริธร (หลวงพ่อสารันต์ จันทูปโม ขอเชิญญาติโยมร่วมบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธาสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อเป็นพุทธบูชา พระครูจันทสิริธร (หลวงพ่อสารันต์ จันทูปโม ขอเชิญญาติโยมร่วมพลังกันสร้างองค์พระเจดีย์ให้แล้วเสร็จกันเถอะเพราะนานปีแล้ว
วัน-เดือน-ปี
เมษายน 2024
อา พฤ
« ต.ค.    
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930