Get Adobe Flash player
ติดต่อสอบถามได้ที่โทร. 086-131-6228, 085-930-4143,

ธรรมะ

เรามาศึกษาธรรมะอาทิตย์ละคำกันเถอะ

จากหนังธรรมโฆษณ์-อรรถานุกรม เล่ม๑

คำว่า “กิเลส”  มีอรรถลักษณะ๒๑ข้อ ดังนี้

๑.    ”กิเลส“ โดยพยัญชนะ: หมายถึงโดยตัวหนังสือหรือคำแปลตามตัวหนังสือ…

๑.๑ สิ่งที่ทำความเศร้าหมอง.

๑.๒ สิ่งที่เศร้าหมอง.

๑.๓ ของสกปรก.

๑.๔ สิ่งที่ทำความสกปรก.

๒.  ”กิเลส“ โดยอรรถ: หมายถึงโดยความหมาย…

๒.๑ หมายถึง ความเศร้าหมองทางกาย ทางวาจา ได้แก่ความทุศีล ทุกชนิด.

๒.๒ หมายถึง ความเศร้าหมองทางจิตใจ ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ทุกชนิด ทุกระดับ,

สูงสุดถึง อหังการมานานุสัย.

๓. ”กิเลส“ โดยไวพจน์: หมายถึงคำที่ใช้เรียกแทนกันได้ทั้งคำบาลีและคำภาษาไทย…

คือ  มละ(มลทิน),  โยคะ(เครื่องผูก),  โอฆะ(เครื่องท่วมทับ),  อัคคิ(เครื่องเผา) ฯลฯ

๔. ”กิเลส“ โดยองค์ประกอบ: หมายถึงปัจจัยที่ต้องมีมากกว่าหนึ่ง.และปัจจัยนั้นๆต้องทำงานร่วม

กันและพร้อมกันในเรื่องเดียวกัน…

๔.๑ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส (กาย วาจา ใจ),

๔.๒ สังขาร คือการปรุงให้เกิดกิเลส (ตามกฏอิทัปปัจจยตา),

๔.๓ ความเศร้าหมองที่เกิดขึ้น (หลายชั้น หลายระดับ),

๕. ”กิเลส“ โดยลักษณะ: หมายถึงลักษณะภายนอกที่เป็นเครื่องสังเกตหรือเครื่องกำหนดที่ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไร

จึงเรียกว่าอย่างนั้น…

๕.๑ สกปรก เศร้าหมอง น่ารังเกียจ,

๕.๒ แห่งราคะ  คือดึงเข้าหาตัว, แห่งโทสะ คือผลักออก, แห่งโมหะ คือวิ่งอยู่รอบๆ,

๕.๓ ก่อให้เกิดกรรม (เป็นกงล้อกงหนึ่งในวัฏฏะ)

๕.๔ ของบรรดาสิ่งที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว,

๕.๕ เป็นได้ทั้งบวกและลบ.

๖. ”กิเลส“ โดยอาการ: หมายถึงอาการเคลื่อนไหว หรือแสดงความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ…

๖.๑ อยากได้ อยากทำลาย  สงสัยติดตาม,

๖.๒ ทำให้เกิดความเศร้างหมองโดยส่วนเดียว,

๖.๓ แสดงออกมาได้ทั้งความเป็นบวกและความเป็นลบ,

๗. ”กิเลส โดยประเภท: หมายถึงการจำแนกให้เข้ากันเป็นพวกๆ ตามลักษณะอาการของสิ่งนั้นๆ…

นัยที่หนึ่ง: แบ่งตามความเป็นเหตุและผล: มีสองอย่าง:

๑.กิเลสที่เป็นเหตุ.

๒.กิเลสที่เป็นผล.

แต่อย่าลืมว่ามันเปลี่ยนตัวมันเองได้ คือ กิเลสที่เป็นผลก็กลายมาเป็นกิเลสที่เป็นเหตุได้

นัยที่สอง: แบ่งตามอาการที่แสดง: มีสามอย่าง:

๑.มีอาการดึงเข้ามาแล้วยึดครองไว้:  ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า ราคะ หรือ โลภะ

๒.มีอาการผลักออกไปหรือทำลายเสีย: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า โทสะ หรือโกธะ,

๓.มีอาการวนอยู่รอบๆ ด้วยความไม่รู่: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า โมหะ.

นัยที่สาม: แบ่งตามชั้นแห่งเวลา: มีสามอย่าง:

๑.กิเลสที่ปรากฏตัวออกมาจาเหตุซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส:  คือ เป็นกิเลสเฉพาะหน้าๆ; จะเรียกมันว่า กิเลส เฉยๆ.

๒.กิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสที่เก็บสะสมไว้ในสันดาน: ซึ่งเราจะเรียกมันว่า อนุสัย.

๓.กิเลสที่พร้อมที่จะไหลกลับออกจากคลังแห่งอนุสัย เมื่อได้โอกาสหรือปัจจัย: ซึ่งเราจะเรียกมันว่า อาสวะ.

นัยที่สี่:  แบ่งตามอารมณ์ มีหกอย่าง: คือ กิเลสเกิดจากอารมณ์ทางตา, ทางหู, ทางจมูก, ทางกาย, ทางใจ,

นอกจากนั้นยังมีทางที่จะแบ่งตามกาลเวลาและกฎ    เกณฑ์อื่นๆ เป็นกิเลสหลายร้อยหลายพันชนิดก็ได้,

ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องนำมากล่าวในที่นี้ทั้งหมด.

๘. ”กิเลส“ โดยกฎเกณฑ์: หมายถึงกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ หรือกฎเกณฑ์เพื่อจะเข้าไปถึงสิ่งนั้นๆ

ซึ่งอาจมีได้ทั้งโดยบัญญัติและโดยธรรมชาติ…

คือ ต้องมีอารมณ์ของกิเลส, ต้องมีความขาดสติ, ต้องมีการปรุงแต่งโดยอำนาจของอวิชชา. ครั้งเกิดแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรม.

ป้องกันได้ด้วยความมีสติ.

ตัดเสียได้ด้วยอำนาจของปัญญา. มีรากฐานอยู่บนสัญชาตญาณที่ปราศจากความรู้. เป็นคู่ปรับของโพธิ.

๙. ”กิเลส“ โดยสัจจะ: หมายถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ…

๙.๑ แน่นอนที่ต้องเศร้าหมอง.

๙.๒ แน่นอนที่ต้องทำกรรม.

๙.๓ แน่นอนที่ต้องเกิดทุกข์.

๙.๔ แน่นอนที่จะต้องเป็นสมบัติของปุถุชน.

๑๐. ”กิเลส“ โดยหน้าที่:(โดยสมมติ)หมายถึงการที่สิ่งมีชีวิตจะต้องกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ…

๑๐.๑ มีหน้าที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง.

๑๐.๒ มีหน้าที่ทำให้เกิดกรรมและวิบาก  เพื่อการเวียนว่ายไปในวัฏฏะ.

๑๐.๓ มีหน้าที่ทำลายสันติภาพของมนุษย์.

๑๐.๔ มีหน้าที่เป็นพลังของคนโง่.

๑๐.๕ มีหน้าที่เป็นของหอมของงามของอันธพาล.

๑๑. ”กิเลส“ โดยอุปมา:หมายถึงการเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เข้าใจดีอยู่แล้วเพื่อให้เข้าในสิ่งนั้นๆ

ดียิ่งขึ้นจนถึงที่สุด…

เป็นเสมือนเครื่องรึงรัด.  เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กำลังแล่น.

๑๒. ”กิเลส“  โดยสมุทัย: หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ…

๑๒.๑ อารมณ์ของกิเลส,  ความขาดสติในการรับอารมณ์,  การปรุงแต่งของอวิชชาสามอย่างนี้เป็นสมุทัยของกิเลส.

๑๒.๒ สัญชาติญาณที่ไม่มีส่วนแห่งโพธิ มีแต่ส่วนแห่งกิเลส.

๑๒.๓ รชนียธรรม ทั้งปวง.
๑๓. ”กิเลส“ โดยอัตถังคมะ: หมายถึงความดับของสิ่งนั้นๆ. คือความตั้งอยู่ไม่ได้ชั่วคราว หรือตลอดไปของสิ่งนั้นๆ…

๑๓.๑ การขาดปัจจัยของกิเลสนั้นๆ ตามธรรมชาติ.

๑๓.๒ ความมาทันเวลาของสติสัมปชัญญะ (ปัญญา).

๑๓.๓ ธรรมเป็นข้าศึกแก่กิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น.

๑๓.๔ เวลาว่างจากกิเลส ซึ่งได้ตามธรรมชาติ (เพราะกิเลสมิได้เกิดอยู่ตลอดเวลา).

๑๔.”กิเลส“ โดยอัสสาทะ: หมายถึงเสน่ห์หรือรสอร่อยที่ยั่วยวนของสิ่งนั้นๆ ซึ่งมีต่อมนุษย์…

๑๔.๑ กิเลสมีเสน่ห์ มีรสอร่อยแห่งความหลอกลวงสูงสุด.

๑๔.๒.กิเลสเป็นที่เกิดและเป็นที่ตั้งแห่งนันทิราคะทุกชนิด ทุกระดับ.

๑๕.”กิเลส“ โดยอาทีนวะ: หมายถึงโทษหรือความเลวร้ายของสิ่งนั้นๆ

ซึ่งซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ยาก…

๑๕.๑ ทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์เป็นคราวๆ.

๑๕.๒ ทำให้มีอาการเหมือนตกนรกเป็นคราวๆ.

๑๕.๓ ทำให้ติดไปกับวงของวัฏฏะ.

๑๕.๔ ทำให้โลกประสบอุปสรรคและความสูญเสีย.

๑๖.”กิเลส“ โดยนิสสรณะ: หมายถึงอุบายหรือวิธีที่จะออกหรือพ้นจากอำนาจของสิ่งนั้นๆ…

๑๖.๑ อริยมรรคมีองค์แปด หรือความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง.

๑๖.๒ ความมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่โดยปกติ.

๑๖.๓ การดำรงอยู่หรือมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่ให้โอกาส, ไม่ให้ปัจจัย,

ไม่ให้อาศัย,ฯลฯ แก่กิเลส: เรียกว่า สัมมาวิหาร ซึ่งทำโลกให้ไม่ว่างจากพระอรหันต์”.

๑๗.”กิเลส“ โดยทางปฏิบัติ: หมายถึงทางปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆเพื่อให้เกิดผลดีตามที่ประสงค์…

เพื่อออกจากการตกเป็นทาสของกิเลส:

๑๗.๑ มีการกระทำที่เป็นการทำลายต้นตอของกิเลส คืออวิชชาอยู่เป็นนิจ.

๑๗.๒ มีสติอยู่ทุกเมื่อ ทุกสถานที่ และทุกกรณี.

๑๗.๓ มีการเป็นอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว  แต่เห็นแก่ผู้อื่นและความถูกต้อง.

๑๘.”กิเลส“ โดยอานิสงส์: หมายถึงประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อสิ่งนั้นๆ…

ให้บทเรียน ทำให้ฉลาด เอาชนะกิเลสเพื่อลุถึงนิพพาน

๑๙.”กิเลส“ โดยหนทางถลำ: หมายถึงการมีโอกาสหรือความบังเอิญที่ทำให้เกิดความง่ายแก่การปฏิบัติหรือการทำหน้าทีให้สำเร็จ

ได้โดยง่ายยิ่งขึ้น; แต่ในบางกรณีความบังเอิญนี้มีได้แม้ในฝ่ายลบหรือไม่พึงประสงค์…

เข้าไปอยู่ใต้อิทธิพลของกิเลส

๑๙.๑ ความประมาทปราศจากสติ.

๑๙.๒ ความเป็นอยู่อย่างหละหลวม ปราศจากธรรมเครื่องยึดหน่วง.

๑๙.๓ คบคนพาลเป็นเพื่อนหรือเป็นผู้นำ.

๑๙.๔ อาการชอบทำอะไรตามใจตัว.

๒๐.”กิเลส“ โดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง: ในการเกิดกิเลส   หมายถึงปัจจัยหรืออุปกรณ์พิเศษอื่นๆ

ที่จะช่วยให้การกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ

เกิดความสำเร็จได้โดยง่ายและโดยเร็วจนถึงที่สุด…

๒๐.๑ ปัจจัยหรืออารมณ์ของกิเลส.

๒๐.๒ อวิชชา ความปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง.

๒๐.๓ ความปราศจากสติ.

๒๐.๔ อนุสัย  (ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสในภายใน).

๒๑.”กิเลส“ โดยภาษาคน-ภาษาธรรม: หมายถึงการพูดจาที่จะกล่าวถึงสิ่งๆนั้นมีทางพูดได้เป็นสองภาษา

คือ ภาษาคน และ ภาษาธรรม…

โดยภาษาคน: หมายถึงภาษาคนธรรมดาที่ใช้พูด ซึ่งมักระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุภายนอก

ที่เรียกว่าบุคคลาธิษฐาน..

โดยภาษาธรรม:หมายถึงภาษาที่ผู้รู้ธรรมพูด ซึ่งมักระบุไปยังคุณค่าหรือคุณสมบัติ

โดยไม่เล็งถึงบุคคลหรือวัตถุ ที่เรียกกันว่า ธรรมาธิษฐาน…

๒๑.๑ ภาษาคน:  ความสกปรกทางวัตถุทางการ  ซึ่งมีการชำระด้วยวัตถุ.

ภาษาธรรม: ความสกปรกทางจิตใจ  ซึ่งต้องชำระด้วยวิปัสสนาญาณ.

๒๑.๒ ภาษาคน:  ดูไม่น่ากลัวหรือเป็นของธรรมดา.

ภาษาธรรม:  ยิ่งกว่าน่ากลัว.

ธรรมะวันละคำจากหนังสือธรรมโฆษณ์ อาทิตย์หน้าพบกับคำว่า ขันธ์ เป็นคำต่อไป ครับ

เรามาศึกษาธรรมะวันละคำกันเถอะ
จากหนังสือธรรมโฆษณ์-อรรถานุกรม เล่ม๑
คำว่า “กรรม”  มีอรรถลักษณะ๒๑ข้อ ดังนี้
๑.กรรมโดยพยัญชนะ: หมายถึงโดยตัวหนังสือหรือคำแปลตามตัวหนังสือ…คือการกระทำ
๒.  ”กรรมโดยอรรถ: หมายถึงโดยความหมาย…คือ กระทำโดยเจตนา: เรียกว่า กรรม; มีผลเป็นวิบาก
๓.กรรมโดยไวพจน์: หมายถึงคำที่ใช้เรียกแทนกันได้ทั้งคำบาลีและคำภาษาไทย…คือ กรณ, ปฏิบัติ, ปฏิปทา,
๔. กรรมโดยองค์ประกอบ: หมายถึงปัจจัยที่ต้องมีมากกว่าหนึ่ง.และปัจจัยนั้นๆต้องทำงานร่วมกันและพร้อมกันในเรื่องเดียวกัน…มีสาม.
   คือ    ๑. เจตนาในการกระทำ (กิเลส).
๒. ความพยายามกระทำ (ปโยคะ).
            ๓. สำเร็จตามความพยายาม.
๕.กรรมโดยลักษณะ: หมายถึงลักษณะภายนอกที่เป็นเครื่องสังเกตหรือเครื่องกำหนดที่ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไร จึงเรียกว่าอย่างนั้น…มีลักษณะ:
                        คือ ๕.๑ ตามเจตนาของการกระทำนั้นๆ.
                                    ๕.๒ ไม่เที่ยง, เป็นทุกข์, เป็นอนัตตา, เหมือนสังขตธรรมทั้งปวง.
                                    ๕.๓ เป็นเครื่องจำแนกสัตว์, ควบคุมสัตว์เหมือนเงาตามตัว.     
๖.กรรมโดยอาการ: หมายถึงอาการเคลื่อนไหว หรือแสดงความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ…คือ
๖.๑ มีอาการเกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ดับไป, และสิ้นสุดได้ เมื่อสิ้นปัจจัยคือกิเลส. ถ้ายังมีกิเลสก็จะต้องเป็นไปตามอำนาจของกิเลส.
๖.๒ กรรมมีอาการเป็นไปตามกฎแห่งกรรม คือ ปฏิจจสมุปบาท; ทั้งในส่วนของผู้กระทำ หรือผู้รับผลแห่งการกระทำ.
๗.กรรมโดยประเภท: หมายถึงการจำแนกให้เข้ากันเป็นพวกๆ ตามลักษณะอาการของสิ่งนั้นๆ…
            ๗.๑ แบ่งโดยประเภทสอง:
                ๑.กรรมขั้นศีลธรรม: เป็นไปเพื่อการเวียนวายในวัฏฏะ.
                 ๒. กรรมขั้นปรมัตถธรรม: เป็นไปเพื่อการสิ้นสุดแห่งวัฏฏะ.
๗.๒ แบ่งโดยประเภทสาม:
    กลุ่มทีหนึ่ง: บัญญัติตามลักษณะ:
๑.    กรรมที่บัญญัติได้ว่าเป็น กุศล.
๒.    กรรมที่บัญญัติได้ว่าเป็น อกุศล.
๓.    กรรมที่บัญญัติไม่ได้ว่าเป็น กุศล หรือ อกุศล (อัพยากฤต).
กลุ่มที่สอง: บัญญัติตามที่เกิด:
๑.    กายกรรม.
๒.    วจีกรรม.
๓.    มโนกรรม.
กลุ่มที่สาม: บัญญัติตามการกระทำ:
๑.    สนับสนุนกรรมอื่น (ให้หนักขึ้น).
๒.    บีบคั้นกรรมอื่น (ให้เบาลง).
๓.    ตัดขาดกรรมอื่น (ให้เลิกกันไป).
๗.๓ แบ่งโดยประเภทสี่:
      ๑. กรรมดำ  หรือ  กรรมชั่ว.
      ๒. กรรมขาว  หรือ  กรรมดี.
      ๓. กรรมดำขาวเจือกัน คือการกระทำที่เจือกันทั้งชั่วและดี.
       ๔. กรรมไม่ดำไม่ขาว คือเหนือชั่วเหนือดี  เป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย.
๘.กรรมโดยกฎเกณฑ์: หมายถึงกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ หรือกฎเกณฑ์เพื่อจะเข้าไปถึงสิ่งนั้นๆ ซึ่งอาจมีได้ทั้งโดยบัญญัติและโดยธรรมชาติ…
            ๘.๑ กรรมมีกฎเกณฑ์ซึ่งสัตว์จะต้องเคารพเชื่อฟังในฐานะเป็นพระเจ้า.
            ๘.๒ กรรมต้องให้ผลอย่างแน่นอน เช่น มีการเคาะที่ไหนย่อมต้องมีเสียงเกิดขึ้นที่นั้น.
            ๘.๓ สัตว์ต้องเป็นไปตามกรรมจนกว่าจะสิ้นกรรม  คืออยู่เหนือกรรม.
            ๘.๔ กรรมต้องให้ผลทันทีที่มีการกระทำเสร็จ.
            ๘.๕ แม้กรรมเก่าที่จะให้ผลเป็นทุกข์ก็มีอยู่  แต่ถ้าประพฤติถูกต้องตามกฏอิทัปปัจจยตา  กรรมนั้นก็ไม่อาจจะให้ผล. ถ้ากระทำกรรมไม่ดำไม่ขาว ก็เป็นอันยกเลิกไป ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่.
            ๘.๖ สุข-ทุกข์  ในปัจจุบัน  มิใช่เป็นผลของกรรมเก่า; แต่เกิดจากกฏอิทัปปัจจยตาที่สัตว์กระทำถูกหรือกระทำผิด; คือเป็นฝ่ายนิโรธหรือฝ่ายสมุทัย.
            ๘.๗ กรรมและการให้ผลของกรรมที่แท้จริงนั้น  ต้องเป็นเรืองของปัจจุบันธรรม และเป็นสันทิฏฐิโก.
            ๘.๘ ถ้ารักษาจิตไว้ได้  ก็จะไม่มีความผิดพลาดหรือปัญหาใดๆ เกี่ยวกับกรรม.
            ๘.๙ กรรมให้ผลทันทีเมื่อมีการกระทำเสร็จ  นี้เป็นผลของกรรมโดยตรง. ส่วนที่เป็นทางบวกหรือทางลบก็ตามนั้นไม่แน่; เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอย่างอื่นอีก  จึงเรียกว่าผลโดยอ้อม.
๙.กรรมโดยสัจจะ: หมายถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ…
๙.๑ กรรมโดยหลักแห่งศีลธรรม: มีผู้กระทำกรรม; โดยหลักแห่ง              ปรมัตถ   ธรรม:   เป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา.
๙.๒ กรรมไม่ต้องรอผลของการกระทำ  ทำดีก็ดีเสร็จ  ทำชั่วก็ชั่วเสร็จ ตั้งแต่เมื่อทำ.  (ส่วนที่ต้องรอนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นแง่บวกหรือแง่ลบ).
๙.๓ ผลของกรรมที่จะติดตามมา ไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเหมือนกับตัวกรรม; บางทีอาจจะเป็นตรงกันข้ามก็ได้  เพราะมีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแซงได้.
๙.๔ กรรม ผลกรรม ผู้ทำกรรม ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย  ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอยู่เสมอ; จึงจะหวังเอาตามใจไม่ได้
๙.๕ กรรมและผลของกรรม  แม้ในอัตภาพนี้ก็มีมากมายจนเหลือที่จะจัดการได้อยู่แล้ว; นับประสาอะไรจะไปพูดถึงชาติหน้า.
๙.๖ กรรมที่เป็นสังขารการปรุงแต่ง  มีอยู่สามชนิด: คือ อบุญ(บาป), บุญ (บุญที่ยังหวั่นไหว), อเนญชา บุญที่ไม่มีความหวั่นไหว).
๙.๗ ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้วต้องเป็นทุกข์ทั้งนั้น  แม้กรรมดีมีสุขก็ยังเป็นทุกข์อย่างดี  หรือทุกข์อย่างคนมีความสุข; ต้องเหนือกรรมทั้งปวงจึงจะไม่มีทุกข์ แถงยังเหนือทุกข์อีกด้วย.
๙.๘ สิ้นกรรมไม่ได้หมายความว่าตาย; แต่หมายถึงสิ้นกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรม.
๙.๙ กรรมมีอยู่ในทุกรอบแห่งปฏิจจสมุปบาท.
๙.๑๐ กรรมในชั้นปรมัตถธรรม  ไม่มีผู้กระทำกรรมหรือการกระทำกรรม;  มีแต่อาการแห่งปฏิจจสมุปบาท.
๑๐.กรรม“  โดยหน้าที่: (โดยสมมติ) หมายถึงการที่สิ่งมีชีวิตจะต้องกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ.
๑๐.๑ กรรมทำหน้าจำแนกสัตว์  หรือ ปรุงแต่งสัตว์ ให้เป็นไปตาม
         ลักษณะของเหตุปัจจัย.
๑๐.๒ ยกเว้นกรรมไม่ดำไม่ขาวเสียแล้ว  กรรมย้อมทำสัตว์ให้เวียนว่าย
          อยู่ในวัฏฏะ.
๑๐.๓ กรรมก็ตาม  กิริยาก็ตาม  มีหน้าที่ให้เกิดวิบากและปฏิกิริยา.
๑๑.กรรมโดยอุปมา:หมายถึงการเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เข้าใจดีอยู่แล้วเพื่อให้เข้าในสิ่งนั้นๆ ดียิ่งขึ้นจนถึงที่สุด…
                        ๑๑.๑ ลิ่มสลัก  (สกรูนอต) ที่ตรึงสัตว์ให้ติดอยู่ในวัฏฏะ.
                        ๑๑.๒ ยมบาล  ผู้จัดการทุกอย่างอย่างถูกต้อง  ทั้งแก่คนทำดีและ
         คนทำชั่ว.
๑๑.๓ กรรมหรือกฎแห่งกรรม  มีอุปมาเหมือนพระเป็นเจ้าให้รางวัลแก่คนทำถูก  และลงโทษคนทำผิดอย่างไม่รับสินบน.
๑๒.กรรม“  โดยสมุทัย: หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ…
                        ๑๒.๑ สมุทัยแห่งกรรมมีสามระยะ:
                               ๑. เวทนา  (ความรู้สึก  สุข-ทุกข์).
                                ๒. ตัณหา  (กิเลส).
                                ๓. อุปาทาน  (ความยึดมั่น).
                                   แล้วแต่จะก่อขึ้นในระยะใดระยะหนึ่งในสามระยะนี้.
                                  ทั้งสามระยะนี้มีอวิชชาเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง.
                        ๑๒.๒ ถ้ากล่าวอย่างสรุปสั้นที่สุด  ความต้องการเป็นเหตุให้ทำกรรม
                                 ตามชนิดของความต้องการ.
๑๓.กรรมโดยอัตถังคมะ: หมายถึงความดับของสิ่งนั้นๆ. คือความตั้งอยู่ไม่ได้ชั่วคราว หรือตลอดไปของสิ่งนั้นๆ…
๑๓.๑ ความดับไปตามคราวเพราะขาดเหตุปัจจัยตามธรรมของ
         สังขารธรรมหรือสังขตธรรมทั้งหลาย.
๑๓.๒ เมื่อสิ้นความต้องการหรือตัณหา.
๑๔.กรรมโดยอัสสาทะ: หมายถึงเสน่ห์หรือรสอร่อยที่ยั่วยวนของสิ่งนั้นๆ ซึ่งมีต่อมนุษย์…
                        ๑๔.๑ คนยอมทำกรรมตามความพอใจของตนๆ จึงเป็นอัสสาทะแก่
                               ผู้กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว.
๑๔.๒ กรรมชั่วเป็นอัสสาทะของคนชั่ว; กรรมดีเป็อัสสาทะของคนดี.
         (รวมไปถึงผลของกรรมด้วย).
๑๕.กรรม โดยอาทีนวะ: หมายถึงโทษหรือความเลวร้ายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ยาก…
                            คือ  การทำให้ต้องเวียนว่ายไปตามกรรม ยกเว้นกรรมไม่ดำไม่ขาว  
          ซึ่งไม่มีอาทีนวะ.         
๑๖.”กรรมโดยนิสสรณะ: หมายถึงอุบายหรือวิธีที่จะออกหรือพ้นจากอำนาจของสิ่งนั้นๆ…
                          ๑๖.๑ การดำเนินชีวิตตามอริยมรรคมีองค์แปด.
                          ๑๖.๒ กรรมไม่ดำไม่ขาวหรือกรรมที่สี่ เป็นนิสสรณะของกรรมทั้งสาม
                                 ข้างต้น.
                          ๑๖.๓ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร เป็นนิสสรณะของกรรม ทั้งชนิด
                                  ชั่วคราวและเด็ดขาด.
๑๗.กรรมโดยทางปฏิบัติ: หมายถึงทางปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆเพื่อให้เกิดผลดีตามที่ประสงค์..
                        ๑๗.๑ เพื่อเข้าสู่กรรมดี: คือ กุศลกรรมบถสิบ.
                        ๑๗.๒ เพื่อสิ้นกรรม: คือ การปฏิบัติเพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่า
                           ตัวตน;  ว่าดี-ว่าชั่ว, ว่าสุข-ว่าทุกข์ ฯลฯ; เมื่อหมดตัวตนก็หมดกรรม.
๑๘.กรรมโดยอานิสงส์: หมายถึงประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อสิ่งนั้นๆ…
                        ๑๘.๑ กรรมดำ: นำไปสู่ทุคติ.
                        ๑๘.๒ กรรมขาว: นำไปสู่สุคติ.
                        ๑๘.๓ กรรมดำขาวเจือกัน: นำไปสู่ทั้งทุคติและสุคติ.
                        ๑๘.๔ กรรมไม่ดำไม่ขาว: นำไปสู่นิพพานหรือความสิ้นกรรม.
๑๙.กรรมโดยหนทางถลำ: หมายถึงการมีโอกาสหรือความบังเอิญที่ทำให้เกิดความง่ายแก่การปฏิบัติหรือการทำหน้าทีให้สำเร็จได้โดยง่ายยิ่งขึ้น; แต่ในบางกรณีความบังเอิญนี้มีได้แม้ในฝ่ายลบหรือไม่พึงประสงค์…
                        ๑๙.๑ สู่กรรมดำ: คบคนพาล
๒๐.”——–“ โดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง: หมายถึงปัจจัยหรืออุปกรณ์พิเศษอื่นๆที่จะช่วยให้การกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เกิดความสำเร็จได้โดยง่ายและโดยเร็วจนถึงที่สุด…
๒๑.”——–“ โดยภาษาคน-ภาษาธรรม: หมายถึงการพูดจาที่จะกล่าวถึงสิ่งๆนั้นมีทางพูดได้เป็นสองภาษา คือ ภาษาคน และ ภาษาธรรม…
โดยภาษาคน:หมายภาษาคนธรรมดาที่ใช้พูด ซึ่งมักระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุภายนอก ที่เรียกว่าบุคคลาธิษฐาน…
โดยภาษาธรรม:หมายถึงภาษาที่ผู้รู้ธรรมพูด ซึ่งมักระบุไปยังคุณค่าหรือคุณสมบัติโดยไม่เล็งถึงบุคคลหรือวัตถุ ที่เรียกกันว่า ธรรมาธิษฐาน…
ศุกร์หน้าพบกับคำว่า “กาม” เป็นธรรมะในคำต่อไป
                   ** *** ** ***
 
 
               เรามาศึกษาธรรมะวันละคำกันเถอะ
                        จากหนังสือธรรมโฆษณ์-อรรถานุกรม เล่ม๑คำว่า “ กาม ”  มีอรรถลักษณะ ๒๑ข้อ  ดังนี้
 ๑. ”กาม“ โดยพยัญชนะ: หมายถึงโดยตัวหนังสือหรือคำแปลตามตัวหนังสือ…คือ ความใคร่.
 ๒.  ”กาม“  โดยอรรถ: หมายถึงโดยความหมาย…ความรู้สึกที่เป็นความใคร่. ส่วนใหญ่ หมายถึง  ความรู้สึกเกี่ยวกับเพศตรงกันข้ามในระดับของสัญชาตญาณก็ได้, ในระดับที่ เจริญเกินกว่าระดับของสัญชาตญาณก็ได้.  คำๆนี้ใช้หมายถึงตัวความรู้สึกเช่นนั้นก็ได้  เรียกว่ากิเลสกาม,  หมายถึงสิ่งที่เป็นอารมณ์ของความรู้สึกเช่นนั้นก็ได้  เรียกว่า วัตถุกาม  หรือ กามคุณ, หรือหมายถึงอาการหรือการกระทำตามความรู้สึกเช่นนั้นก็ได้  เรียกว่ากามหรือกามวิตก.
 ๓. ”กาม“  โดยไวพจน์: หมายถึงคำที่ใช้เรียกแทนกันได้ทั้งคำบาลีและคำภาษาไทย…คือ นันทิ,ราคะ, ตัณหา,  ฯลฯ  ความกำหนัด, ความยินดี,
 ๔. ”กาม“  โดยองค์ประกอบ: หมายถึงปัจจัยที่ต้องมีมากกว่าหนึ่ง.และปัจจัยนั้นๆต้องทำงานร่วมกันและพร้อมกันในเรื่องเดียวกัน. 
                ๔.๑  เวทนาที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชาอันเป็นเหตุให้ใคร่     
                ๔.๒  อารมณ์ของความใคร่. 
                ๔.๓  กิริยาที่ใคร่                    
 ๕. ”กาม“ โดยลักษณะ:  หมายถึงลักษณะภายนอกที่เป็นเครื่องสังเกตหรือเครื่องกำหนดที่ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไร จึงเรียกว่าอย่างนั้น…                                     
               ๕.๑  แห่งความเขลา  (อวิชชา).                                     
               ๕.๒  แห่งความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน)                                     
               ๕.๓  แห่งความไม่รู้จักอิ่มจักพอ.                                               
                  ๕.๔  เผาลนหรือกัดเจ้าของ                                               
                  ๕.๕  แห่งความดิ้นรนแสวงหา.                                     
              ๕.๖  ให้เกิดการกระทำอย่างอื่นต่อไป.
 ๖. ”กาม“  โดยอาการ: หมายถึงอาการเคลื่อนไหว หรือแสดงความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ   มีอาการคือ
                  ๖.๑  ดิ้นรนแสวงหา  (ปริเยสนา).                                     
               ๖.๒  เพลิดเพลินยินดี (นันทิ).                                     
               ๖.๓  สยบมัวเมาในสิ่งที่ได้มา (มุจฉา).                                     
               ๖.๔  แห่งการเผาลนหรือกัดเจ้าของ.                                     
               ๖.๕  แห่งการหึงหวงเห็นแก่ตัว.                                     
               ๖.๖  ปรุงกามภพ.
 ๗. ”กาม“  โดยประเภท: หมายถึงการจำแนกให้เข้ากันเป็นพวกๆ ตามลักษณะอาการของสิ่งนั้นๆ.          
                คือแบ่งโดยประเภทสอง: 
                                         ๑. กิเลสกาม: คือกามที่เป็นตัวกิเลส.                                                          
                                         ๒. วัตถุกาม: คือ กามที่เป็นตัววัตถุของกิเลส. (หรือจะแบ่งเป็น     สามประเภทก็ได้  โดยเพิ่มตัวกาม  ซึ่งเป็นตัวกิริยาอาการแห่งการกระทำ)
      ๘. ”กาม“  โดยกฎเกณฑ์: หมายถึงกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ หรือกฎเกณฑ์เพื่อจะเข้าไปถึงสิ่งนั้นๆ ซึ่งอาจมีได้ทั้งโดยบัญญัติและโดยธรรมชาติ
                                     ๘.๑ กฎเกณฑ์ของความเป็นกามหรือความสมบูรณ์ของกาม: ต้องนำหน้าด้วยมิจฉาสังกัปปะหรืออวิชชา  แล้ว ตามด้วยกิเลสกาม  วัตถุกาม 
                              และ กิริยากาม, รวมทั้งผล  สะท้อนที่เกิดตามมา  เช่นกามภพ  หรือวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่เนื่องกันอยู่.
                           ๘.๒ กามทุกรูปแบบหรือทุกกรณี มีสายแห่งปฏิจจสมุปบาทของมันเองย่างสมบูรณ์.
  ๙. ”กาม“  โดยสัจจะ: หมายถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ.     
                  นัยที่หนึ่ง:  เกี่ยวกับมนุษย์เพื่อไม่สูญพันธุ์:   เป็นความลับของธรรมชาติ   ใช้กามเป็นเครื่องล่อหรือจ้างมนุษย์ให้ทำการสืบพันธุ์  
         ซึ่งตามปกติเป็นสิ่งเจ็บปวด   ยุ่งยาก   ลำบาก  ไม่อยากกระทำ,  แต่ก็ทนอำนาจของกามไม่ได้  จึงกระทำการสืบพันธุ์.    
                   นัยที่สอง: เกี่ยวกับการพัฒนาหรือวิวัฒนาการมีกามเป็นเครื่องชักนำให้ก้าวหน้าไม่มีที่สิ้นสุด.         
                   นัยทีสาม:  เกี่ยวกับสังคม: คือ มีการต่อสู้แข่งขันแย่งชิงเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากาม; จนกระทั่งเกิดอาชญากรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.         
                    นัยที่สี่:  เกี่ยวกับการขัดแย้งในโลกมีการทะเลาะวิวาทเกี่ยวกับกาม;  แม้ที่สุดในระหว่างพี่กับน้อง   หรือบิดากับบุตร.         
                   นัยที่ห้า:  เกี่ยวกับชั้นหรือภูมิแห่งจิตใจมนุษย์คือกามธาตุ   เป็นความหมายสำคัญของสัตว์  ที่ตั้งอยู่ในกามาวจรภูมิ; 
         ถ้าก้าวล่วงกามธาตุเสียได้  ก็ย่อมเปลี่ยนเป็น      ภูมิที่สูงขึ้นไป.         
                   นัยที่หกเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม:  คือกามธาตุ   เป็นสิ่งที่ต้องละในชั้นต้นแห่งการก้าวไปสู่โลกุตตรภูมิ.
  ๑๐. ”กาม“   โดยหน้าที่: หมายถึงการที่สิ่งมีชีวิตจะต้องกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ…                  
                   ๑๐.๑  หน้าที่ (โดยสมมติ) ของสิ่งที่เรียกว่ากาม:   คือ  การปรุงแต่งให้เกิดกามภพ  และหมู่สัตว์ทั้งหลายผู้ตกอยู่ในวิสัยแห่งกาม.                  
                    ๑๐.๒  หน้าที่ของมนุษย์ต่อสิ่งที่เรียกว่ากาม:  คือ ทำการศึกษาให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากาม; แล้วเปลื้องตนออกมาเสียจากอำนาจของสิ่งที่เรียกว่ากาม; 
     เรียกว่าอยู่เหนือกาม. มิฉะนั้นจะเป็นสัตว์นรกอยู่ในเมืองสวรรค์; ดังที่กำลังมี  กำลังเป็นอยู่ในบัดนี้ แม้ในโลกนี้.                  
                     ๑๐.๓  หน้าที่ของผู้สืบพระศาสนาต่อสิ่งที่เรียกว่ากาม:  คือ  การสั่งสอน  การทำตัวอย่างให้ดู 
         และการช่วยเหลือให้สัตว์ทั้งหลายได้ออกมาเสียจากอำนาจของกาม;  มิใช่เป็นผู้จมกามเสียเอง
  ๑๑. ”กาม“  โดยอุปมา: หมายถึงการเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เข้าใจดีอยู่แล้วเพื่อให้เข้าในสิ่งนั้นๆ ดียิ่งขึ้นจนถึงที่สุด…      เปรียบเหมือน:
                       ๑๑.๑  หัวงูพิษ   ที่คนมักจับเอาโดยไม่รู้จัก.                            
                       ๑๑.๒  บ่วงคล้องสัตว์  ดิ้นให้หลุดไม่ได้.                            
                        ๑๑.๓  คบเพลิงหญ้า  ถือทวนลมไหม้มือผู้ถือ.                            
                        ๑๑.๔  หลุมถ่านเพลิง  ตกลงไปแล้วยากที่จะรอด.                            
                        ๑๑.๕  เบ็ดที่หุ้มเหยื่อ  สำหรับเกี่ยวปลาโง่.                            
                        ๑๑.๖  ลูกศรอาบยาพิษ  มีความเจ็บปวดสูงสุดในระยะหลัง.                            
                        ๑๑.๗  ท่องกระดูกมีเนื้อติดแต่เล็กน้อย ให้ความสุขน้อย ให้ทุกมากในการกิน                            
                         ๑๑.๘  เขียงรองสับเนื้อ  เป็นที่รองรับการสับโขกรอบด้าน.                            
                         ๑๑.๙  ชิ้นเนื้อในปากสัตว์ที่จะถูกสัตว์อื่นตามยื้อแย่ง                            
                         ๑๑.๑๐ หอกและหลาว  ซึ่งมีไว้เพียงเพื่อการแทงตัวเอง.                            
                         ๑๑.๑๑ วัตถุในฝัน  ซึ่งพอตื่นขึ้นมาก็หายสาบสูญไป.                            
                          ๑๑.๑๒ ของที่ยืมเขามา  ซึ่งไม่อาจถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ได้  ต้องคืนเจ้าของ.                            
                          ๑๑.๑๓ ดอกไม้ของมาร  สำหรับล่อสัตว์.
๑๒. ”กาม“   โดยสมุทัย: หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ…                            
                          ๑๒.๑ อวิชชา ในกาม ความไม่รู้โดยประการทั้งปวง.                            
                           ๑๒.๒  ความหลงใหลในอัสสาทะของกาม.                            
                           ๑๒.๓  ความสุกงอมของต่อมแกลนด์สำหรับความรู้สึกทางเพศ ตามสัญชาตญาณของสามัญสัตว์. (คำกล่าวนี้เป็นกรรมวิธีหรือกล
          ไกของธรรมชาติ มิใช่ข้อความในพระคัมภีร์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ในการปฏิบัติธรรม;  จึงนำมากล่าว).                            
                            ๑๒.๔  การถูกแวดล้อมด้วยอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกทางกามซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบัน.
  ๑๓. ”กาม“  โดยอัตถังคมะ: หมายถึงความดับของสิ่งนั้นนั้นๆ:  คือความตั้งอยู่ไม่ได้ชั่วคราว หรือตลอดไปของสิ่งนั้นๆ…                  
                            ๑๓.๑  ความดับไปตามคราวเพราะเสร็จกิจ  หรือขาดเหตุปัจจัยตามธรรมดาของสังขารธรรมหรือสังขตธรรมทั้งหลาย.                  
                             ๑๓.๒  พลังสติ พลังวิชชา มาทันเวลาก่อนแต่จะเกิด หรือกำลังเกิดอยู่ก็ตาม.                  
                             ๑๓.๓  ความดับแห่งกามมี  เพราะความแห่งเวทนา.
  ๑๔.”กาม“  โดยอัสสาทะ: หมายถึงเสน่ห์หรือรสอร่อยที่ยั่วยวนของสิ่งนั้นๆ ซึ่งมีต่อมนุษย์.                       
                                    ๑๔.๑  รสอร่อยและความเมาในรสอร่อย  ที่ได้มาจากการบริโภคกาม.                  
                             ๑๔.๒  กามมุจฉา  ความเมาในความประสงค์ของกิเลสกาม.
 ๑๕.”กาม“  โดยอาทีนวะ: หมายถึงโทษหรือความเลวร้ายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ยาก.                       
                                     ๑๕.๑  ทำความเจ็บปวดเป็นทุกข์แก่ผู้ยึดครอง; ทั้งก่อนได้  ได้อยู่และจากไป;  ในลักษณะที่เรียกว่า  มีสุขน้อย  มีทุกข์มาก;  ไม่คุ้มค่า.                  
                              ๑๕.๒  เป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมศีลธรรม; แม้กระทั่งอาชญากรรมทุกชนิด เช่น อาชญากรรมวิปริต เช่น ลูกฆ่าพ่อ ฯลฯ                   
                              ๑๕.๓  กามและปัจจัยแห่งกามทุกชนิด   เป็นมูลเหตุแห่งความเห็นแก่ตัวทุกระดับ; เป็นเหตุให้เกิดบุคคลมีลักษณะ
           ไม่พึงปรารถนาทุกรูปแบบขึ้นมาในโลก.
    ๑๖.”กาม“  โดยนิสสรณะ: หมายถึงอุบายหรือวิธีที่จะออกหรือพ้นจากอำนาจของสิ่งนั้นๆ.                       
                                     ๑๖.๑  อริยอัฏฐังคิกมรรค  ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ.                  
                                    ๑๖.๒  มีอุบายเป็นเครื่องพิจารณาเหตุโทษแห่งกามอยู่เป็นประจำ.
   ๑๗.”กาม“  โดยทางปฏิบัติ: หมายถึงทางปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆเพื่อให้เกิดผลดีตามที่ประสงค์.              เพื่อออกจากกาม.                    
                                    ๑๗.๑  อริยมรรคมีองค์แปด: หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา.                    
                                    ๑๗.๒. การมีปัญญาหรือวิปัสสนาญาณ:  ที่ทำให้มองเห็นว่า   กามทั้งหลายทุกชนิดเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ  เรียกว่ากามธาตุ; 
                แล้วหยุดความยินดีมัวเมาในกามเสียได้.
   ๑๘.”กาม“  โดยอานิสงส์: หมายถึงประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อสิ่งนั้นๆ.                       
                                        ๑๘.๑  อานิสงส์ของกามโดยสมมติหรือโดยอ้อมเป็นบทเรียน,  เป็นที่ตั้งแห่งการศึกษา,  เพื่อให้รู้จักสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้จัก;
                     เพื่อความหมดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากาม.                  
                                ๑๘.๒  อานิสงส์โดยตรงของการอยู่หรืออำนาจของกาม:  คือ ความสงบสุข  เพราะหมดไฟกิเลสประเภทนี้.                  
                                ๑๘.๓  ในความหมายทางโลกๆความรู้สึกทางกามเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาไปตามประสาโลกๆ
              แม้ไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ในขั้นสุดท้าย   ก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่.
      ๑๙.”กาม“  โดยหนทางถลำ: หมายถึงการมีโอกาสหรือความบังเอิญที่ทำให้เกิดความง่ายแก่การปฏิบัติหรือการทำหน้าทีให้สำเร็จได้โดยง่ายยิ่งขึ้น;
             แต่ในบางกรณีความบังเอิญนี้มีได้แม้ในฝ่ายลบหรือไม่พึงประสงค์.    เข้าไปอยู่ใต้อิทธิพลของกาม                  
                                                 ๑๙.๑  การเป็นอยู่อย่างไม่สำรวมอินทรีย์.                  
                                ๑๙.๒  การทนไม่ได้ต่อความยั่วยุของกามารมณ์ในทุกรูปแบบ.                  
                                ๑๙.๓  นิสัยแห่งการตามใจตัวเอง,  ไม่ยับยั้งสังวรในความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้น  ซึ่งจะทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง.
    ๒๐.”กาม“  โดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง: หมายถึงปัจจัยหรืออุปกรณ์พิเศษอื่นๆที่จะช่วยให้การกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เกิดความสำเร็จได้โดยง่ายและโดยเร็วจนถึงที่สุด.   
                 ในการที่จะเอาชนะกามหรือการมีอำนาจเหนือกาม
                                             ๒๐.๑  ความสติ  ปัญญา  สัมปชัญญะ  สมาธิ  อย่างเพียงพอ และรวดเร็ว.                
                              ๒๐.๒  อยู่ในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนความรู้สึกทางกาม.
       ๒๑.”กาม“  โดยภาษาคน-ภาษาธรรม: หมายถึงการพูดจาที่จะกล่าวถึงสิ่งๆนั้นมีทางพูดได้เป็นสอง ภาษา คือ     
                                      ภาษาคน  และ ภาษาธรรม.   โดยภาษาคน:หมายภาษาคนธรรมดาที่ใช้พูด ซึ่งมักระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุภายนอก ที่เรียกว่าบุคคลาธิษฐาน…
                 โดยภาษาธรรม:หมายถึงภาษาที่ผู้รู้ธรรมพูด ซึ่งมักระบุไปยังคุณค่าหรือคุณสมบัติโดยไม่เล็งถึงบุคคลหรือวัตถุ ที่เรียกกันว่า ธรรมาธิษฐาน.
                               ภาษาคน:   หมายถึงแต่เรื่องทางเพศ          
                               ภาษาธรรมไม่เกี่ยวกับเพศก็ได้;   หมายถึงสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความปรารถนาทุกชนิด เช่นธัมมกาโม (ผู้ใคร่ในธรรม).                  
                               ภาษาคน:   เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา.                  
                               ภาษาธรรมเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง. 
                                                                                                                         ธรรมะวันละคำจากหนังสือธรรมโฆษณ์ ศุกร์หน้าพบกับคำว่า กิเลส เป็นคำต่อไป ครับ

กลับไปสารบัญ

 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร      

พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไปหรือดำเนินไป

       พระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อธรรม ขับเคลื่อนพระศาสนา เป็นชื่อของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคียทั้ง๕ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘  คือภายหลังจากการตรัสรู้แล้ว ๒ เดือน ซึ่งก็คือวันอาสาฬหบูชาในสมัยปัจจุบันนั่นเอง   เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยมัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลาง ซึ่งเว้นที่สุดทั้ง ๒ อย่าง และว่าด้วยอริยสัจ ๔ ความจริงของอริยะ หรือความจริงอันประเสริฐทั้ง ๔  ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ อันทำให้พระองค์สามารถปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ(ญาณชนิดตรัสรู้เองโดยชอบอันยอดเยี่ยม)
ท่านโกณฑัญญะ หัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ)  และขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระศาสนา เรียกว่าเป็น ปฐมสาวก

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

กลับไปพุทธพจน์

ปฐมเทศนา

แสดงธรรมเป็นครั้งแรกในโลก แก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕

(จาก พระไตรปิฎก ฉบับสมาคมศิษเก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)

        [๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ

        การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย (กามสุขัลลิกานุโยค)  

        เป็นธรรมอันเลว   เป็นของชาวบ้าน  เป็นของปุถุชน

        ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑

        การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค)

        ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น   

        นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด

        ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง

        ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?

        ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละคือ  

                ปัญญาอันเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ) ๑,   

                ความดำริชอบ(สัมมาสังกัปปะ) ๑,   

                เจรจาชอบ(สัมมาวาจา) ๑,   

                กระทำชอบ(สัมมากัมมันตะ) ๑,   

                เลี้ยงชีวิตชอบ(สัมมาอาชีวะ) ๑,   

                พยายามชอบ(สัมมาวายามะ) ๑,  

                ระลึกชอบ(สัมมาสติ) ๑,   

                ตั้งจิตชอบ(สัมมาสมาธิ) ๑  

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน.

        [๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์   ความแก่ก็เป็นทุกข์   ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์   ความตายก็เป็นทุกข์   ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์   ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์   ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์   โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก  ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน(นันทิ)  มีปกติเพลิดเพลิน(นันทิ)ในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา  ภวตัณหา วิภวตัณหา.  

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับโดยไม่เหลือ  ด้วยมรรคคือ วิราคะ  สละ  สละคืน  ปล่อยไป  ไม่พัวพัน.

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คืออริยมรรคมีองค์ ๘นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ …………. ตั้งจิตชอบ ๑.

        [๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้(คือ)ทุกขอริยสัจ.(ญาณทัสสนะที่ ๑)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.(ญาณทัสสนะที่ ๒)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.(ญาณทัสสนะที่ ๓)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้(คือ)ทุกขสมุทัยอริยสัจ.(ญาณทัสสนะที่ ๔)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย.(ญาณทัสสนะที่ ๕)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว.(ญาณทัสสนะที่ ๖)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้(คือ)ทุกขนิโรธอริยสัจ.(ญาณทัสสนะที่ ๗)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง.(ญาณทัสสนะที่ ๘)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.(ญาณทัสสนะที่ ๙)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้(คือ)ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.(มรรค) (ญาณทัสสนะที่ ๑๐)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ(มรรค)นี้นั้นแล ควรให้เจริญ.(ญาณทัสสนะที่ ๑๑)

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ(มรรค)นี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว.(ญาณทัสสนะที่ ๑๒)    (แสดงสรุปญาณทัสสนะทั้ง ๑๒ อาการ ในบทอริยสัจ ๔)

 ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓  มีอาการ ๑๒

        [๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓  มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้วเพียงใด  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า  เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.

         อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.

         ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่   ดวงตาเห็นธรรม  ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.

         [๑๗] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้ บันลือเสียงว่า

         นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี

         อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ  ใครๆ  ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.

         เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.

         เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.

         เทวดาชั้นยามา …  เทวดาชั้นดุสิต …  เทวดาชั้นนิมมานรดี …  เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี …

         เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม  ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไปว่า

         นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี  

         อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.

         ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก  ด้วยประการฉะนี้แล.  

         ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.  

         ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ  ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ

[ “อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” – โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ]

         เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ

 

ปัญจวัคคีย์ทูลขอบรรพชาอุปสมบท

          [๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่า

ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น. (เอหิภิกขุอุปสัมปทา)

[๑๙] ครั้นต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุทั้งหลายที่เหลือจากนั้น ด้วยธรรมีกถา.

เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน

ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระวัปปะและท่านพระภัททิยะว่า

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา.

ท่านทั้งสองนั้น ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความ สงสัยได้แล้ว

ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย  ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า  ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา

ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์ทั้งสองพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอทั้งสองจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า

ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอทั้งสองจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งสองนั้น.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ท่านทั้งสามนำมาถวาย ได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา.

ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตนำบิณฑบาตใดมา ทั้ง ๖ รูปก็เลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตนั้น.

วันต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน

ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระมหานามะและท่านพระอัสสชิว่า

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา.

ท่านทั้งสองได้เห็น ธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัย ได้แล้ว

ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา

ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์ทั้งสอง พึงได้บรรพชา พึงได้ อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอทั้งสองจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า

ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอทั้งสองจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.

พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งสองนั้น.

 

ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร เป็นลำดับต่อไป

จนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ สำเร็จพระอรหัตถผล

 

ร่วมใจใช้เทคโนโลยี เผยแผ่ความดี ความงาม และความจริง หรือธรรมะนั่นเอง ให้กว้างไกลไปทั่วโลก

สร้างองค์พระเจดีย์
พระครูจันทสิริธร (หลวงพ่อสารันต์ จันทูปโม ขอเชิญญาติโยมร่วมบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธาสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อเป็นพุทธบูชา พระครูจันทสิริธร (หลวงพ่อสารันต์ จันทูปโม ขอเชิญญาติโยมร่วมพลังกันสร้างองค์พระเจดีย์ให้แล้วเสร็จกันเถอะเพราะนานปีแล้ว
วัน-เดือน-ปี
มีนาคม 2024
อา พฤ
« ต.ค.    
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31